การแห่พระมหาอุปคุตด์
ในสมุดข่อยหรือพับลั่นตำราเรียนธรรมของล้านนาไทย ท่านกล่าวไว้ว่า “พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตยู่ 4 องค์ คือ
พระอุปคุตต์อยู่ในโลหะปราสาทในสมุทรทิศเหนือ 1 พระสารมัตตะอยู่ในปราสาททิศเหนือ
พระสกโสสาระอยู่ในปราสาททิศตะวันออก 1 พระเมธาระอยู่ในโลหปราสาทสมุทรทิศตะวันตก 1
และกล่าวถึงพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว แต่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยอีก 4 องค์ คือ
พระมหากัสสปะอยู่ใน
เขาเวภารบรรพต 1 พระมหาสุภระอยู่ในเขาอุตตมะ 1 พระอุปักขายะอยู่ในเขามกุระ
1 พระธรรมสาระอยู่ในเขามิสสกะ 1 “ในพระอรหันต์ 4 องค์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ชาวล้านนาไทยคุ้นเคยกับพระมหาอุปคุตต์มาก
แม้แต่เด็ก ๆ ก็รู้จักชื่อท่าน
เพราะวันใดเป็นวันเดือนเพ็ญตรงกับวันพุธท่านว่า “พระมหาอุปคุตต์จะออกมาบิณฑบาตผู้ใดได้ใส่บาตรท่าน
จะประสบโชคดีในวันนั้นทีเดียว “ทางจังหวัดเชียงใหม่ยังถือปฏิบัติกันอยู่ใน
ปัจจุบันนี้ เรื่องของท่าน พระมหาอุปคุตต์นี้เลื่องลือมาก
ก็ตอนที่พระเจ้าอโศกมหาราชฉลองพระธาตุแปดหมื่นสี่พันหลัง
ปรากฏว่ามีพระยามารมารบกวนทำให้งานฉลองครั้งนั้นยุ่งยากปั่นป่วน ไม่เป็นที่สงบ
พระเจ้าอโศกมหาราชได้นิมนต์ มาช่วยมัดพระยามารไว้ ไม่ให้ออกไปรบกวนงาน
งานฉลองครั้งนั้นจึงดำเนินไปอย่างสงบ
จนเสร็จงานเป็นเวลาเดือนหนึ่งจึงได้ปล่อยพระยามารไป
ที่เล่ามาข้างบนนี้เป็นประวัติย่อของพระอุปคุตต์
คนล้านนาไทยรู้เรื่องท่านดังกล่าวด้วยเหตุนี้เมื่อจะมีงานทำบุญปอยหลวงกัน
ก็เจริญรอยตามแบบของพระเจ้าอโศกมหาราช คือต้องทำคานหามมีพานดอกไม้
แห่ฆ้องกลองไปเป็นขบวน มุ่งหน้าสู่ท่าน้ำ
จะเป็นท่าน้ำที่ไหนก็ได้เมื่อไปถึงท่าน้ำแล้ว
อาจารย์จะเป็นผู้กล่าวคำอาราธนานิมนต์พระมหาอุปคุตต์คนที่ไปทั้งหมดก็ประนมมือฟังไปด้วย
ใจความคำว่านิมนต์ก็ว่า “จะมีงานฉลอง
เกรงว่าจะมีเหตุเภทภัยโดยลูกน้องพระยามารจะมากลั่นแกล้ง ทำให้งานไม่ราบรื่น
ขออาราธนานิมนต์ท่านมหาอุปคุตต์เถระเจ้า ไปช่วยคุ้มครองป้องกัน “แล้วก็ให้คนใดคนหนึ่งลงไปในแม่น้ำ
งมไปตามบริเวณนั้นได้ก้อนหินสักก้อนหนึ่งก็สมมุติเป็นพระมหาอุปคุตต์เอาวางไว้บนคานหาม
แล้วก็แห่กลับคืนมาสู่วัด
ในวัดที่มีการปอยหลวงนั้น ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่ามีวิหารเล็ก ๆ
หลังหนึ่ง ทำขึ้นชั่วคราวในนั้นจะมีเครื่องอัฐบริวารครบ
ส่วนมากวิหารน้อยหลังนี้จะตั้งอยู่หน้าวิหารใหญ่ ที่นี่แหละเป็นที่อยู่ของท่านมหาอุปคุตต์
ซึ่งเขาไปนิมนต์ท่านมาจากแม่น้ำมาประดิษฐานไว้ในวิหารนี้ ถ้ามีคำถามแทรกเข้ามา
ก้อนหินที่แห่มาสมมุติเป็นท่านมหาอุปคุตต์จะช่วยคุ้มครองงานได้อย่างไร พึงตอบว่า“เมื่อคนที่เป็นศรัทธาของวัดนั้นไปพร้อมกับอาราธนานิมนต์ท่าน
เพื่อขอท่านมาช่วยคุ้มครองรักษาก็เท่ากับว่าศรัทธาวัดนั้นต้องการความสงบ
เมื่อเจ้าถิ่นสงบ คนต่างถิ่นก็ยากที่จะมายุ่ง
การกระทำเช่นนี้เป็นไปตามจิตวิทยาถ้าตั้งใจทำจริง ๆ
โดยความพร้อมเพรียงกันย่อมได้ผลอย่างแท้จริง
การทานทุง (การตานตุง)
ก่อนจะถึงงานสัก 2-3 วันจะเป็นวันนัดทานทุง(ตานตุง)
โดยศรัทธาของวัดนั้นเป็นผู้สร้างทุงถวายใครจะทานก็ได้ไม่ทานก็ได้
แต่ส่วนมากจะทานกัน
เมื่อจะมีงานฉลองวันทานทุงนี้ทำตอนเช้ามีพิธีทำบุญตักบาตรแล้วก็เวนทานทุง
เมื่อเสร็จแล้ว ทุงของใครของมันเขาจะนำมาฝังค้าง(เสาไม่ไผ่)สูง 3-4 วา
ฝังเป็นระเบียบเป็นแนวจากหน้าวัดออกไปสู่สองฟากถนนที่จะเข้ามาหาวัด บางคนทานทุงมาก
จะปักฝังออกมาไกล-จากวัด เราขี่รถผ่านทุงนี้มีที่ไหน
ก็รู้ว่าวัดแถวนั้นจะมีงานหรืองานปอยหลวง
การสร้างทุงถวายทาน เป็นคตินิยมของคนล้านนาไทยมาแต่โบราณ
ด้วยความเข้าใจว่า เมื่อตายไปแล้วได้ไปตกนรกก็ดี
ชายทุงที่ตัวเคยทานไว้นั้นอาจช่วยกวัดเอาวิญญาณพ้นจากนรกหรืออาจช่วยปัดสิ่งร้าย
ๆทั้งหลายให้ห่างตัวไป
จะสังเกตเห็นตามถนนหนทางที่มีรถวิ่งเป็นประจำเขาจะปักทุงส่วนมากสีแดงไว้
จะมีกองทรายใบตองแห้ง ๆ อยู่พึงรู้ว่าตรงนั้นมีคนตายโหง
การที่เขาทานทุงปักทุงไว้ตรงนั้น
เพราะเข้าใจว่าชายทุงนั้นจะช่วยกวัดวิญญาณของคนตายไปเกิดในที่ชอบ
ไม่ให้เป็นอสูรกายผีร้ายอยู่ที่นั้น
สมัยโบราณจริงๆท่านให้ทานทุงเหล็กทุงทอง
อุทิศส่วนกุศลไปหาผู้ที่ตายไปเป็นเปรต เป็นอสูรกาย
สามารถช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากภาวะนั้นได้ เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ชื่อ
พลสังขยา เป็นเรื่องยาวจะนำมาเล่าก็เห็นว่าทำให้เรื่องนี้ยาวเกินไป
ผู้อยากทราบพึงหาอ่านเอาเอง มีตามวัดวาอารามตามลานนาไทย
วันแรกของงานปอยหลวง
วันแรกนี้ตอนเช้าทำบุญตักบาตรตามประเพณี
ตลอดวันนี้จะเป็นวันครัวทานที่จะทานหาคนตายเข้า
ครัวทานเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นเรือนมีเครื่องพร้อม หรือสิ่งของอื่น ๆ
ที่เขาคิดว่าควรแก่ผู้ตาย เขาจะนำครัวทานเข้าวัดนี้ทั้งสิ้น
ที่นิยมให้เอาครัวทานอุทิศหาคนตายมาเข้าในทานวันแรกนี้
ก็เพราะเหตุว่าสมัยโบราณนั้นเครื่องใช้เกี่ยวกับงานฉลอง เป็นต้นว่า ถ้วย ชาม เสื่อ
หม้อแกง ครกพริก ฯลฯ เป็นของใช้ที่มีไม่มาก เพื่อให้ได้สิ่งของเหล่านี้ในงานไปเลย
จึงกำหนดให้ครัวทานชนิดนี้เข้าทานในวันแรก
ถ้างานนั้นมีครัวทานเข้าวันเดียวหรือ 2 วัน
วันแรกเช้านี้จะมีหัววัดทั้งหลายแห่ครัวทานเข้ามาทานด้วย
แล้วแต่ทางวัดจะกำหนดนัดมา
วันต่อมาก็เป็นวันครัวทานหัววัดหรือชาวบ้านแห่เข้ามา
ทางวัดได้จัดเจ้าหน้าที่ต้อนรับไว้ จะมีคนถือพานดอกไม้ ถือโคนโทใส่น้ำ กั้นสัปทน
คอยต้อนรับอยู่ ที่หน้าวัดนิยมทำร้านสูงเสมอกำแพงมุมเรียบร้อย
เพื่อให้ฆ้องกลองอยู่คอยแห่รับครัวทาน ที่ปรำหน้าวัดหรือในวัดจะจัดช่างฟ้อนของวัดคอยฟ้อนต้อนรับครัวทานเหมือนกัน
เมื่อครัวทานหัววัดแห่ไปถึง
คนถือสัปทนก็จะนำสัปทนไปกั้นให้พระที่นำครัวทานมา คอยรินน้ำจากโคนโทถวายท่าน
ผู้ที่ถือพานดอกไม้ก็นำพานดอกไม้มาถวายท่าน เป็นการนิมนต์เพื่อให้เข้าไปในวัด
พิณพาทย์ฆ้องกลองบนร้านที่ประตูวัดก็แห่ต้อนรับช่างฟ้อนของวัดก็จะออกมาฟ้อนรับ
เป็นที่สนุกสนานมาก บางวัดก็มีการฟ้อนรำนำขบวนน่าสนุกสนานมาก
หรือแสดงการละเล่นต่าง ๆ มา
วันสุดท้ายของงาน
ทุกวันตอนเช้าจะมีการทำบุญตักบาตรเป็นประจำ
เพื่อที่จะนำข้าวที่ศรัทธามาใส่บาตรไว้เลี้ยงแขกในตอนกลางวัน ตอนสายครัวทานก็แห่แหนเข้ามา
ตามหมู่บ้านของศรัทธาจะมีญาติพี่น้องลูกหลานมาค้างคืนเพื่อร่วมทำบุญ
ตั้งแต่วันก่อนงาน หรือระหว่างงานก็มี สาย ๆมาพวกญาติพี่น้องที่ไม่มานอนจะมา“ฮอมครัว”คือนำเงินมารวมเป็นต้นมาร่วมทำบุญกับเจ้าภาพ
จะมีการเลี้ยงของหวานกันก่อน เมื่อถึงยามเที่ยงก็เลี้ยงอาหารกันขึ้นบ้านใดก็จะรับประทานบ้านนั้น
ญาติพี่น้องที่มาฮอมครัวจะลงบ้านนั้นขึ้นบ้านนี้ จนหมดตามวงศาคณาญาติที่มีอยู่
ถึงตอนบ่ายก็แห่ครัวทานของศรัทธาวัดนั้นเข้าวัด เป็นที่สนุกสนานยิ่ง
เพราะจะมีครัวทานเต็มถนนหนทาง เสียงฆ้องกลองสนั่นหวั่นไหว กว่าจะเสร็จก็ถึงค่ำ
ตอนกลางคืนจะมาฟังเทศน์ ฟังเบิกในวัด พวกชอบการละเล่นก็ไปชมการละเล่นต่าง ๆ
ตามอัธยาศัย
การเวนทาน
รุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง เป็นเวนทานถวายสิ่งปลูกสร้างแก่พระสงฆ์
การเวนทานนี้เป็นประเพณีอย่างหนึ่งของล้านนาไทย
ไม่ทราบว่าดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะทุกวัดจะมีอาจารย์ทำหน้าที่เวนทานประจำ
ถือเป็นความจำเป็นที่ต้องมี อาจารย์นี้มีหน้าที่เวนทานสิ่งต่างๆ
ที่จะถวายแก่พระสงฆ์ ซึ่งคำที่กล่าวเวนทานเหล่านั้น
นักปราชญ์แต่โบราณได้แต่งไว้อาจารย์เหล่านี้ก็จะท่องจำไว้เพื่อกล่าวคำเวนทานในเมื่อถึงคราว
ส่วนการเวนทานปอยหลวงซึ่งนับเป็นงานใหญ่
บางทีอาจารย์วัดนั้นไม่สามารถที่จะกล่าวเวนทานให้ละเอียดได้ก็จะไปเชิญอาจารย์จากที่อื่นมากล่าวเวนทาน
อาจารย์ที่ได้เชิญมาเช่นนี้เรียกว่าเป็นอาจารย์พิเศษมีการแต่งการเวนทานให้เหมือนกัณฑ์เทศน์ของพระ
ประชาชนให้การเคารพนับถือมาก จะมากล่าวเวนทานสิ่งที่ฉลองนั้นเป็นร่าย
พรรณนาคำสอนก่อนเป็นเบื้องแรก กล่าวประวัติวัดมาพอสังเขป
แล้วกล่าวถึงสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่เริ่มต้นมา จนมีงานฉลองมีความจริงเป็นอย่างไร
ก็นำมากล่าวเวนทานหมดเป็นที่พออกพอใจแก่ศรัทธามาก
เมื่ออาจารย์กล่าวคำเวนทานจบแล้ว ก็จะถวายสิ่งของแก่พระสงฆ์
พระสงฆ์อนุโมทนาแล้วกรวดน้ำเป็นเสร็จพิธีตอนเช้าวันนี้ก่อนจะเวนทานหลังจากการตักบาตรแล้ว
บางวัดก็เลี้ยงข้าวกันที่วัดโดยลูกหลานที่บ้านนำมาส่ง
บางวัดก็จะกลับไปรับประทานที่บ้าน เวลาประมาณ 09.00 น. ถึงจะเริ่มกล่าวเวนทาน
หมายเหตุ ประเพณีปอยหลวงที่เล่ามานี้
เป็นแบบแผนที่ปฏิบัติอยู่ในจังหวัดลำพูน จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนจังหวัดอื่น ๆ
ในภาคเหนือมีผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง เช่นจังหวัดเชียงรายบางอำเภอ
ครัวทานของศรัทธาวัดนั้นแห่เข้าก่อนหมด ต่อจากนั้นจึงเป็นครัวทานของหัววัดต่อมา
เขาจะแห่ครัวทานเข้าถึงตอนกลางคืน
ทางวัดที่มีงานต้องเลี้ยงข้าวเย็นเช้าค่ำแก่ศรัทธาวัดทั้งหลายที่นำครัวทานเข้าในค่ำวันนั้นจนทั่วถึง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น