วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประเภทตุงที่ใช้ในงานปอยหลวง

ตุงไชย
ตุงไชย มีชื่อเรียกตามแต่ละท้องถิ่น เช่น ตุงหลวง ตุงไจย เป็นต้น ตุงไชยเป็นตุงที่แสดงถึงความเป็นสิริมงคล แสดงถึงชัยชนะ เป็นตุงที่ทอจากเส้นด้าย หรือเส้นไหมสลับสี หรือทำจากผ้าเป็นผืน แล้วประดับลวดลาย บางผืนมีไม้คั่นเป็นช่วง ๆ บางผืนก็ไม่มีไม้คั่น ตุงไชยที่ได้จากการทอผ้านั้น มักจะทอด้วยลวดลายเป็นรูปต่าง ๆ เช่น ปราสาท ต้นไม้ ดอกไม้ คน สัตว์ เป็นต้น ส่วนหางตุงมักจะใช้เส้นฝ้ายถักเป็นตาข่ายห้อยลงมา และจะประดับด้วยอุบะเป็นพู่ห้อยหลากสีสวยงาม ชาวล้านนาเชื่อกันว่าตุงไชยหากทอยิ่งยาวยิ่งมีอานิสงส์มาก ซึ่งถ้าผืนใหญ่หรือยาวมาก ก็มักใช้ไม้ไผ่ลำโตทำเป็นเสาตุง ใช้ในงานเฉลิมฉลอง ต่าง ๆ ชาวบ้านจะช่วยกันทำตุงไชยมาปักเรียงรายตามสองข้างทางที่เข้าสู่วัด การที่นำตุงไชย มาปักเพื่อเป็นการอุทิศส่วนบุญส่งกุศลไปให้ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ
นอกจากปักไว้สองข้างทางเข้าวัดแล้วยังมีการประดับประดาไว้รอบศาลาธรรมที่มีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อบูชาพระรัตนตรัยถือว่าได้บุญกุศลอย่างแรงและเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว


ประเภทถาวรวัตถุที่มีปอยหลวง

การทำบุญปอยหลวงนี้ ทางคณะสงฆ์กำหนดให้การทำบุญเหมาะสมแก่ฐานะคือ มิให้ทำการฉลองสิ่งก่อสร้างเล็กๆ มีค่าน้อย เช่น หอระฆัง กุฏิเล็ก ประตูวัด ห้ามมิให้ทำเพราะปอยหลวงต้องเตรียมการมาก และเกี่ยวพันกับหัววัดและศรัทธาที่อื่นๆ ด้วย หากทำไม่เหมาะจะเป็นที่ครหาได้ เป็นการเสื่อมเสียแก่เจ้าอาวาสและศรัทธาวัดนั้นๆ ด้วย ปอยหลวงจึงกำหนดราคาสิ่งก่อสร้างตั้งแต่แสนบาทขึ้นไปและกำหนดตามราคาค่าเงินด้วยระยะปี 2480-2490 ราคาประมาณ 5,000 บาท 2491-2500 ประมาณ 10,000-50,000 บาท 2501-ปัจจุบันประมาณ 100,000-1,000,000 บาท ทั้งนี้เกี่ยวกับค่าของเงินและราคาของสูงขึ้น หากต่ำกว่ากำหนดที่ตั้งไว้นี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำปอยหลวง เพียงแต่ทำบุญถวายเฉยๆ เท่านั้น
ถาวรวัตถุของวัดที่ได้รับอนุญาตให้ทำปอยหลวงได้ คือ
1.            โบสถ์
2.            วิหาร
3.            เจดีย์
4.            ศาลาการเปรียญ
5.            กุฏิขนาดใหญ่
6.            กำแพงหอระฆังครัวไฟ ฯลฯ (หลายๆ อย่างรวมกัน)
7.            หอพระไตรปิฎกหรือหอธรรม
ประเภทของสาธารณะ ที่ประชาชนช่วยกันจัดนอกวัด ประกอบด้วย
1.            โรงเรียนประชาบาล
2.            หอประชุมกลางบ้าน
3.         สะพานใหญ่ที่ใช้ข้ามน้ำจากฟากหนึ่งไปสู่ฟากหนึ่ง
            
      ที่มา: http://www.lanna-arch.net/society/mar_3

พิธีกรรม

การแห่พระมหาอุปคุตด์
ในสมุดข่อยหรือพับลั่นตำราเรียนธรรมของล้านนาไทย ท่านกล่าวไว้ว่า พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตยู่ 4 องค์ คือ พระอุปคุตต์อยู่ในโลหะปราสาทในสมุทรทิศเหนือ 1 พระสารมัตตะอยู่ในปราสาททิศเหนือ พระสกโสสาระอยู่ในปราสาททิศตะวันออก 1 พระเมธาระอยู่ในโลหปราสาทสมุทรทิศตะวันตก 1 และกล่าวถึงพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว แต่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยอีก 4 องค์ คือ พระมหากัสสปะอยู่ใน
เขาเวภารบรรพต 1 พระมหาสุภระอยู่ในเขาอุตตมะ 1 พระอุปักขายะอยู่ในเขามกุระ 1 พระธรรมสาระอยู่ในเขามิสสกะ 1ในพระอรหันต์ 4 องค์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ชาวล้านนาไทยคุ้นเคยกับพระมหาอุปคุตต์มาก
แม้แต่เด็ก ๆ ก็รู้จักชื่อท่าน เพราะวันใดเป็นวันเดือนเพ็ญตรงกับวันพุธท่านว่า พระมหาอุปคุตต์จะออกมาบิณฑบาตผู้ใดได้ใส่บาตรท่าน จะประสบโชคดีในวันนั้นทีเดียว ทางจังหวัดเชียงใหม่ยังถือปฏิบัติกันอยู่ใน ปัจจุบันนี้ เรื่องของท่าน พระมหาอุปคุตต์นี้เลื่องลือมาก ก็ตอนที่พระเจ้าอโศกมหาราชฉลองพระธาตุแปดหมื่นสี่พันหลัง ปรากฏว่ามีพระยามารมารบกวนทำให้งานฉลองครั้งนั้นยุ่งยากปั่นป่วน ไม่เป็นที่สงบ พระเจ้าอโศกมหาราชได้นิมนต์ มาช่วยมัดพระยามารไว้ ไม่ให้ออกไปรบกวนงาน งานฉลองครั้งนั้นจึงดำเนินไปอย่างสงบ จนเสร็จงานเป็นเวลาเดือนหนึ่งจึงได้ปล่อยพระยามารไป
ที่เล่ามาข้างบนนี้เป็นประวัติย่อของพระอุปคุตต์ คนล้านนาไทยรู้เรื่องท่านดังกล่าวด้วยเหตุนี้เมื่อจะมีงานทำบุญปอยหลวงกัน ก็เจริญรอยตามแบบของพระเจ้าอโศกมหาราช คือต้องทำคานหามมีพานดอกไม้ แห่ฆ้องกลองไปเป็นขบวน มุ่งหน้าสู่ท่าน้ำ จะเป็นท่าน้ำที่ไหนก็ได้เมื่อไปถึงท่าน้ำแล้ว อาจารย์จะเป็นผู้กล่าวคำอาราธนานิมนต์พระมหาอุปคุตต์คนที่ไปทั้งหมดก็ประนมมือฟังไปด้วย ใจความคำว่านิมนต์ก็ว่า จะมีงานฉลอง เกรงว่าจะมีเหตุเภทภัยโดยลูกน้องพระยามารจะมากลั่นแกล้ง ทำให้งานไม่ราบรื่น ขออาราธนานิมนต์ท่านมหาอุปคุตต์เถระเจ้า ไปช่วยคุ้มครองป้องกัน แล้วก็ให้คนใดคนหนึ่งลงไปในแม่น้ำ งมไปตามบริเวณนั้นได้ก้อนหินสักก้อนหนึ่งก็สมมุติเป็นพระมหาอุปคุตต์เอาวางไว้บนคานหาม แล้วก็แห่กลับคืนมาสู่วัด
ในวัดที่มีการปอยหลวงนั้น ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่ามีวิหารเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ทำขึ้นชั่วคราวในนั้นจะมีเครื่องอัฐบริวารครบ ส่วนมากวิหารน้อยหลังนี้จะตั้งอยู่หน้าวิหารใหญ่ ที่นี่แหละเป็นที่อยู่ของท่านมหาอุปคุตต์ ซึ่งเขาไปนิมนต์ท่านมาจากแม่น้ำมาประดิษฐานไว้ในวิหารนี้ ถ้ามีคำถามแทรกเข้ามา ก้อนหินที่แห่มาสมมุติเป็นท่านมหาอุปคุตต์จะช่วยคุ้มครองงานได้อย่างไร พึงตอบว่าเมื่อคนที่เป็นศรัทธาของวัดนั้นไปพร้อมกับอาราธนานิมนต์ท่าน เพื่อขอท่านมาช่วยคุ้มครองรักษาก็เท่ากับว่าศรัทธาวัดนั้นต้องการความสงบ เมื่อเจ้าถิ่นสงบ คนต่างถิ่นก็ยากที่จะมายุ่ง การกระทำเช่นนี้เป็นไปตามจิตวิทยาถ้าตั้งใจทำจริง ๆ โดยความพร้อมเพรียงกันย่อมได้ผลอย่างแท้จริง
การทานทุง (การตานตุง)
ก่อนจะถึงงานสัก 2-3 วันจะเป็นวันนัดทานทุง(ตานตุง) โดยศรัทธาของวัดนั้นเป็นผู้สร้างทุงถวายใครจะทานก็ได้ไม่ทานก็ได้ แต่ส่วนมากจะทานกัน เมื่อจะมีงานฉลองวันทานทุงนี้ทำตอนเช้ามีพิธีทำบุญตักบาตรแล้วก็เวนทานทุง เมื่อเสร็จแล้ว ทุงของใครของมันเขาจะนำมาฝังค้าง(เสาไม่ไผ่)สูง 3-4 วา ฝังเป็นระเบียบเป็นแนวจากหน้าวัดออกไปสู่สองฟากถนนที่จะเข้ามาหาวัด บางคนทานทุงมาก จะปักฝังออกมาไกล-จากวัด เราขี่รถผ่านทุงนี้มีที่ไหน ก็รู้ว่าวัดแถวนั้นจะมีงานหรืองานปอยหลวง
การสร้างทุงถวายทาน เป็นคตินิยมของคนล้านนาไทยมาแต่โบราณ ด้วยความเข้าใจว่า เมื่อตายไปแล้วได้ไปตกนรกก็ดี ชายทุงที่ตัวเคยทานไว้นั้นอาจช่วยกวัดเอาวิญญาณพ้นจากนรกหรืออาจช่วยปัดสิ่งร้าย ๆทั้งหลายให้ห่างตัวไป จะสังเกตเห็นตามถนนหนทางที่มีรถวิ่งเป็นประจำเขาจะปักทุงส่วนมากสีแดงไว้ จะมีกองทรายใบตองแห้ง ๆ อยู่พึงรู้ว่าตรงนั้นมีคนตายโหง การที่เขาทานทุงปักทุงไว้ตรงนั้น เพราะเข้าใจว่าชายทุงนั้นจะช่วยกวัดวิญญาณของคนตายไปเกิดในที่ชอบ ไม่ให้เป็นอสูรกายผีร้ายอยู่ที่นั้น
สมัยโบราณจริงๆท่านให้ทานทุงเหล็กทุงทอง อุทิศส่วนกุศลไปหาผู้ที่ตายไปเป็นเปรต เป็นอสูรกาย สามารถช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากภาวะนั้นได้ เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ชื่อ พลสังขยา เป็นเรื่องยาวจะนำมาเล่าก็เห็นว่าทำให้เรื่องนี้ยาวเกินไป ผู้อยากทราบพึงหาอ่านเอาเอง มีตามวัดวาอารามตามลานนาไทย
วันแรกของงานปอยหลวง
วันแรกนี้ตอนเช้าทำบุญตักบาตรตามประเพณี ตลอดวันนี้จะเป็นวันครัวทานที่จะทานหาคนตายเข้า ครัวทานเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นเรือนมีเครื่องพร้อม หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่เขาคิดว่าควรแก่ผู้ตาย เขาจะนำครัวทานเข้าวัดนี้ทั้งสิ้น
ที่นิยมให้เอาครัวทานอุทิศหาคนตายมาเข้าในทานวันแรกนี้ ก็เพราะเหตุว่าสมัยโบราณนั้นเครื่องใช้เกี่ยวกับงานฉลอง เป็นต้นว่า ถ้วย ชาม เสื่อ หม้อแกง ครกพริก ฯลฯ เป็นของใช้ที่มีไม่มาก เพื่อให้ได้สิ่งของเหล่านี้ในงานไปเลย จึงกำหนดให้ครัวทานชนิดนี้เข้าทานในวันแรก
ถ้างานนั้นมีครัวทานเข้าวันเดียวหรือ 2 วัน วันแรกเช้านี้จะมีหัววัดทั้งหลายแห่ครัวทานเข้ามาทานด้วย แล้วแต่ทางวัดจะกำหนดนัดมา
วันต่อมาก็เป็นวันครัวทานหัววัดหรือชาวบ้านแห่เข้ามา ทางวัดได้จัดเจ้าหน้าที่ต้อนรับไว้ จะมีคนถือพานดอกไม้ ถือโคนโทใส่น้ำ กั้นสัปทน คอยต้อนรับอยู่ ที่หน้าวัดนิยมทำร้านสูงเสมอกำแพงมุมเรียบร้อย เพื่อให้ฆ้องกลองอยู่คอยแห่รับครัวทาน ที่ปรำหน้าวัดหรือในวัดจะจัดช่างฟ้อนของวัดคอยฟ้อนต้อนรับครัวทานเหมือนกัน
เมื่อครัวทานหัววัดแห่ไปถึง คนถือสัปทนก็จะนำสัปทนไปกั้นให้พระที่นำครัวทานมา คอยรินน้ำจากโคนโทถวายท่าน ผู้ที่ถือพานดอกไม้ก็นำพานดอกไม้มาถวายท่าน เป็นการนิมนต์เพื่อให้เข้าไปในวัด พิณพาทย์ฆ้องกลองบนร้านที่ประตูวัดก็แห่ต้อนรับช่างฟ้อนของวัดก็จะออกมาฟ้อนรับ เป็นที่สนุกสนานมาก บางวัดก็มีการฟ้อนรำนำขบวนน่าสนุกสนานมาก หรือแสดงการละเล่นต่าง ๆ มา
วันสุดท้ายของงาน
ทุกวันตอนเช้าจะมีการทำบุญตักบาตรเป็นประจำ เพื่อที่จะนำข้าวที่ศรัทธามาใส่บาตรไว้เลี้ยงแขกในตอนกลางวัน ตอนสายครัวทานก็แห่แหนเข้ามา
ตามหมู่บ้านของศรัทธาจะมีญาติพี่น้องลูกหลานมาค้างคืนเพื่อร่วมทำบุญ ตั้งแต่วันก่อนงาน หรือระหว่างงานก็มี สาย ๆมาพวกญาติพี่น้องที่ไม่มานอนจะมาฮอมครัวคือนำเงินมารวมเป็นต้นมาร่วมทำบุญกับเจ้าภาพ จะมีการเลี้ยงของหวานกันก่อน เมื่อถึงยามเที่ยงก็เลี้ยงอาหารกันขึ้นบ้านใดก็จะรับประทานบ้านนั้น ญาติพี่น้องที่มาฮอมครัวจะลงบ้านนั้นขึ้นบ้านนี้ จนหมดตามวงศาคณาญาติที่มีอยู่
ถึงตอนบ่ายก็แห่ครัวทานของศรัทธาวัดนั้นเข้าวัด เป็นที่สนุกสนานยิ่ง เพราะจะมีครัวทานเต็มถนนหนทาง เสียงฆ้องกลองสนั่นหวั่นไหว กว่าจะเสร็จก็ถึงค่ำ ตอนกลางคืนจะมาฟังเทศน์ ฟังเบิกในวัด พวกชอบการละเล่นก็ไปชมการละเล่นต่าง ๆ ตามอัธยาศัย
การเวนทาน
รุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง เป็นเวนทานถวายสิ่งปลูกสร้างแก่พระสงฆ์ การเวนทานนี้เป็นประเพณีอย่างหนึ่งของล้านนาไทย ไม่ทราบว่าดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะทุกวัดจะมีอาจารย์ทำหน้าที่เวนทานประจำ ถือเป็นความจำเป็นที่ต้องมี อาจารย์นี้มีหน้าที่เวนทานสิ่งต่างๆ ที่จะถวายแก่พระสงฆ์ ซึ่งคำที่กล่าวเวนทานเหล่านั้น นักปราชญ์แต่โบราณได้แต่งไว้อาจารย์เหล่านี้ก็จะท่องจำไว้เพื่อกล่าวคำเวนทานในเมื่อถึงคราว
ส่วนการเวนทานปอยหลวงซึ่งนับเป็นงานใหญ่ บางทีอาจารย์วัดนั้นไม่สามารถที่จะกล่าวเวนทานให้ละเอียดได้ก็จะไปเชิญอาจารย์จากที่อื่นมากล่าวเวนทาน อาจารย์ที่ได้เชิญมาเช่นนี้เรียกว่าเป็นอาจารย์พิเศษมีการแต่งการเวนทานให้เหมือนกัณฑ์เทศน์ของพระ ประชาชนให้การเคารพนับถือมาก จะมากล่าวเวนทานสิ่งที่ฉลองนั้นเป็นร่าย พรรณนาคำสอนก่อนเป็นเบื้องแรก กล่าวประวัติวัดมาพอสังเขป แล้วกล่าวถึงสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่เริ่มต้นมา จนมีงานฉลองมีความจริงเป็นอย่างไร ก็นำมากล่าวเวนทานหมดเป็นที่พออกพอใจแก่ศรัทธามาก
เมื่ออาจารย์กล่าวคำเวนทานจบแล้ว ก็จะถวายสิ่งของแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนาแล้วกรวดน้ำเป็นเสร็จพิธีตอนเช้าวันนี้ก่อนจะเวนทานหลังจากการตักบาตรแล้ว บางวัดก็เลี้ยงข้าวกันที่วัดโดยลูกหลานที่บ้านนำมาส่ง บางวัดก็จะกลับไปรับประทานที่บ้าน เวลาประมาณ 09.00 น. ถึงจะเริ่มกล่าวเวนทาน

หมายเหตุ ประเพณีปอยหลวงที่เล่ามานี้ เป็นแบบแผนที่ปฏิบัติอยู่ในจังหวัดลำพูน จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือมีผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง เช่นจังหวัดเชียงรายบางอำเภอ ครัวทานของศรัทธาวัดนั้นแห่เข้าก่อนหมด ต่อจากนั้นจึงเป็นครัวทานของหัววัดต่อมา เขาจะแห่ครัวทานเข้าถึงตอนกลางคืน ทางวัดที่มีงานต้องเลี้ยงข้าวเย็นเช้าค่ำแก่ศรัทธาวัดทั้งหลายที่นำครัวทานเข้าในค่ำวันนั้นจนทั่วถึง

ประวัติและความเป็นมา

ประวัติ
คำว่า "ปอยหลวง" ในภาษาล้านนา หมายถึง การจัดงานเฉลิมฉลองศาสนสถาน ที่สร้างขึ้นจากศรัทธาของชาวบ้าน  เช่น โบสถ์  วิหาร  ศาลา  กุฏิ หรือ กำแพงวัด  
การที่เรียกว่า "ปอยหลวง"  เพราะเป็นงานใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือ จากชาวบ้านเป็นจำนวนมาก ในงานจะมีกิจกรรมต่างๆ  ทั้งพิธีทางศาสนา และมหรสพบันเทิง
ความเป็นมา
  ปอยหลวง คือ งานฉลองถาวรวัตถุของวัดหรือการฉลองสิ่งก่อสร้างที่ประชาชนช่วยกันทำขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ แก่สาธารณชน มีโรงเรียน หอประชุม เป็นต้น ประชาชนในล้านนาไทย นิยมทำการฉลองครั้งใหญ่หลังจากการก่อสร้างสำเร็จแล้ว ทำเป็นการใหญ่โต เรียกว่า ปอยหลวง อุทิศสิ่งก่อสร้างเป็นของสงฆ์ และอุทิศบุญกุศลแก่บรรพชนด้วย ถ้าทำส่วนตัวเรียกอุทิศกุศลไว้ภายหน้า หากอุทิศแก่คนตายเรียกว่า อุทิศกุศลไปหา งานปอยหลวงเป็นงานใหญ่ จะต้องมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ซึ่งเจ้าอาวาสและคณะกรรมการวัดคณะศรัทธา จะต้องจัดเตรียมการต้อนรับเลี้ยงดูหัววัดต่าง ๆ ที่จะมาร่วมทำบุญด้วย ซึ่งทางวัดจะได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการเป็นแผนก ๆ ไป และต้องพิมพ์ใบฎีกาแผ่กุศลส่งไปตามหัววัดและคณะศรัทธา แจ้งกำหนดการ และวันทำบุญให้ทราบ ทางวัดที่จัดงานจะเตรียมต้อนรับ และเลี้ยงดูโดยพวกศรัทธาจะช่วยกันบริจาคเครื่องบริโภค เช่น ข้าวสาร อาหาร ไว้คอยเลี้ยง ดูตามสมควรแก่ฐานะ
ประเพณีปอยหลวง
ประเพณีปอย คืองานฉลองหรืองานรื่นเริง งานเทศกาลที่จัดขึ้น มีชาวพม่าท่านหนึ่ง บอกว่า ปอยมาจากคำว่า ปเวณิ์ หรือ ปเวณี แต่พม่าออกเสียงเร็ว ฟังเป็นเสียงปอย ไป คำว่า ปอยนี้ เพิ่งปรากฏในเอกสารล้านนาไทยระยะ 300 ปีมานี้เอง เป็นระยะเวลาที่ชาวพม่าเข้ามาปกครองล้านนาไทย แต่เอกสารสมัยอาณาจักรล้านนาไทยไม่ปรากฏคำว่าปอยเลย แสดงว่าคำนี้ ล้านนาไทยได้มาจากคำว่า ปเวณี ของพม่า นำมาใช้โดยออกเสียงเป็นปอย

งานที่มีชื่อว่า “ปอย” นั้นมีด้วยกัน 4 ปอย คือ
1.            ปอยหลวง งานฉลอง
2.            ปอยน้อย งานบวชอุปสมบท
3.            ปอยข้าวสงฆ์ งานทำบุญอุทิศหาผู้ตาย
4.            ปอยล้อ งานศพพระสงฆ์หรือเจ้าเมือง
      โดยแยกปฎิบัติเป็นประเพณีแต่ละอย่าง ประจำเดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ทำระหว่างเดือน

 4-5-6 คือ ช่วงเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม ของทุกปี

           

ประเพณีปอยหลวงล้านนา

งานบุญประเพณีของชาวล้านนาไม่ว่าจะเป็นงานน้อยงานใหญ่ ก็ล้วนแล้วมาจากพลังศรัทธาของชาวบ้านทั้งสิ้น เช่นเดียวกับงานบุญปอยหลวง  วิถีการดำรงชีวิตของผู้คนแต่ละท้องถิ่นบ่งบอกถึงวัฒนธรรม  ประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมา  จนกลายเป็นแบบแผนที่คนรุ่นหลังจำต้องยึดถือปฏิบัติ และดำรงรักษาไว้

ความเชื่อของคนล้านนาส่วนใหญ่มักจะสอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา  อาจเป็นเพราะว่าศาสนาได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนล้านนามาช้านาน  จะเห็นได้จากการร่วมแรงร่วมใจในการจัดงานบุญประเพณีนั้น สร้างความสามัคคี และพลังศรัทธาอันมหาศาลต่อพระพุทธศาสนา ดังความเชื่อที่ว่า อานิสงส์ของการสร้างกุศลผลบุญ จะส่งผลให้ดวงวิญญาณของผู้ทำบุญได้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์  ดังนั้น ในงานบุญประเพณีของชาวล้านนา ไม่ว่าจะเป็นงานน้อย งานใหญ่  ก็ล้วนแล้วมาจากพลังศรัทธาของชาวบ้านทั้งสิ้น  เช่นเดียวกับงานบุญปอยหลวง

          ที่มา: http://student.nu.ac.th/chollathit/History.html